ไข้หวัดใหญ่
โรคนี้เกิดจาก เชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ (Influenza virus) ค่ะ ซึ่งติดต่อกันได้ง่ายมากผ่านทางเดินหายใจ โดยการไอ จาม หรือสัมผัสสารคัดหลั่งของผู้ป่วย แล้วเอามือมาจับหน้า จับปากตัวเอง
อาการเด่นของไข้หวัดใหญ่คือ:
• มีไข้สูงเฉียบพลัน มักจะหนาวสั่น ปวดเมื่อยตามตัวมาก
• ปวดศีรษะ ปวดกระบอกตา
• ไอ มีเสมหะ เจ็บคอ
• น้ำมูก หรือคัดจมูก
• บางรายอาจมีอาการอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร
ไข้หวัดใหญ่มักมีอาการรุนแรงกว่าไข้หวัดธรรมดา และอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนในกลุ่มเสี่ยงได้ เช่น ปอดอักเสบ โดยเฉพาะในเด็กเล็ก ผู้สูงอายุ หญิงตั้งครรภ์ และผู้มีโรคประจำตัวเรื้อรัง
ไข้เลือดออก
โรคนี้แตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง เพราะเกิดจาก เชื้อไวรัสเดงกี (Dengue virus) ที่มียุงลายเป็นพาหะนำโรคค่ะ นั่นหมายความว่า ถ้าไม่มียุงลายกัด ก็ไม่มีไข้เลือดออก
อาการเด่นของไข้เลือดออกคือ:
• มีไข้สูงเฉียบพลัน สูงลอยตลอดเวลา ตัวร้อนจัด หน้าแดง มักจะไม่มีน้ำมูก ไม่มีไอ
• ปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ
• บางรายอาจมี ปวดท้อง คลื่นไส้ อาเจียน
• อาจมื่นผิวหนัง มีจุดเลือดออกเล็กๆ ตามผิวหนัง บางรายอาจมีเลือดกำเดาไหล เลือดออกตามไรฟัน
• ไข้จะเริ่มลดลงในวันที่ 3-7 ของการป่วย ซึ่งเป็นระยะวิกฤตที่ต้องระวังเป็นพิเศษ เพราะผู้ป่วยอาจมีภาวะความดันต่ำหรือภาวะแทรกซ้อนรุนแรงได้ หากไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้อง
การป้องกัน: รู้แล้วต้องลงมือทำ
•ไข้หวัดใหญ่: เราสามารถป้องกันได้ด้วยการ ล้างมือบ่อยๆ สวมใส่หน้ากากอนามัยเมื่อป่วย หรือเมื่อต้องไปในที่ชุมชน และที่สำคัญคือ การฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ ค่ะ วัคซีนจะช่วยลดความรุนแรงของโรคและป้องกันภาวะแทรกซ้อนได้
•ไข้เลือดออก: การป้องกันที่ดีที่สุดคือ การกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย ค่ะ คว่ำภาชนะที่มีน้ำขัง ปิดฝาโอ่ง อ่าง เก็บขยะไม่ให้เป็นที่รองรับน้ำ และทายากันยุง หรือนอนในมุ้ง เพื่อป้องกันยุงกัดค่ะ
ที่สำคัญคือ วัคซีนไข้เลือดออก ที่มีประสิทธิภาพ ฉีดได้ในเด็กอายุ 4 ปีขึ้นไป
เมื่อมีไข้...อย่ารอช้า
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ เมื่อมีไข้ โดยเฉพาะในเด็กเล็ก อย่าเพิ่งนิ่งนอนใจ หากมีไข้สูงติดต่อกันเกิน 2 วัน หรือมีอาการผิดปกติอื่นๆ ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยและรับการรักษาที่ถูกต้อง เพราะการรู้เร็ว รักษาเร็ว ย่อมดีกว่าเสมอ